Sunday, June 30, 2013

โทรจากอเมริกากลับไทย

มีมากมายหลากหลายวิธีให้เลือกใช้
ถ้าทางไทย สะดวกเรื่องเนท ก็โทรผ่านโปรแกรมต่างๆ ในคอม

เราเป็นคนหนึ่งที่ใช้ Skype  สะดวกดี โทรออกง่ายไม่ต้องกดเบอร์ยาวในการโทรแต่ละครั้ง
กดโทรออกจากชื่อที่บันทึกไว้ สะดวกดี ใช้มา 3 ปีแล้ว
บางคนบอกว่า สัญญาณไม่ชัดบ้างในบางครั้ง
แต่เราใช้ได้สะดวกดีตลอด
ก็คงเหมือนเครือข่ายทั่วไป ที่บางคนอาจเจอปัญหาบ้าง
บางคนไม่เจอปัญหาเลย
และจ่ายโดยบัตรเครดิตมาตลอด  ไม่เคยมีปัญหา
บางเดือน เสียดายตังค์ก็เลือกแค่ แบบ ประมาณ 4$
แต่ก็โทรได้น้อยนาที และก็ไปสลับกับ app โทรฟรีต่างๆ ใน smart phone
แต่ก็ไม่สะดวกเท่าโทรผ่าน Skype เพราะ แม่ไม่มีเนทที่บ้าน โทรศัพท์ไม่ได้ฉลาดมาก
เลยต้องใช้บริการ   โทรเข้ามือถือแบบจ่ายรายเดือน
เดือนไหนอยากโทรเยอะ ก็เปลี่ยนรายการที่เลือก

เปลี่ยนได้ทุกเดือน เราไม่เคยมีปัญหา เรื่องหักค่าบริการจากบัตรเครดิตหรือมีปัญหาอื่นๆ

ไม่ได้โฆษณาให้ Skype นะจ้ะ แต่ใช้เป็นประจำมานานมาก
เคยหาข้อมูลจะเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่น ไม่ใช่เพราะไม่ดี
แต่อยากได้แบบถูกกว่านี้ แต่ยังไม่เจออันที่ถูกกว่านี้ (ในการโทรแบบไม่ต้องใช้บัตรเติมเงิน )

เลยยังใช้ต่อไปเรื่อยๆ และมาบอกต่อ
ใครมีโปรแกรม คล้ายๆ Skype สัญญาณดี ใช้ง่าย และถูกกว่านี้มาบอกต่อด้วยน๊า 
(ขอแบบไม่ต้องกดรหัสบัตรติมเงินนะ เคยใช้แล้วไม่ถนัด )
อยากเปลี่ยนถ้ามีถูกกว่า ;;)

ตอนนี้เราจ่าย 8.99 $  400 นาที / เดือน
แต่ก่อน จ่าย unlimitted Thailand แต่โทรไม่เยอะ ขนาดนั้น เลยลดลงมาใช้อันนี้
อยากได้ถูกกว่านี้อีกค่ะ แต่ในจำนวนนาที ประมาณขนาดนี้ :-)

ถ้าใครสนใจ จะใช้ Skype ถ้าเราไปสมัครจ่ายรายเดือนไว้
ข้อมูลจะบันทึกเป็น ทำรายการต่อทุกเดือนอัตโนมัติ
ถ้าเราไม่อยากต่ออัตโนมัติ พอสมัครทำรายการจ่ายเงินเสร็จ
หลังจากนั้น เข้าไปยกเลิก เพื่อมั่นใจว่า บัตร เครดิตจะไม่ถูกหักเงินอัตโนมัติในรอบต่อไป
เรายกเลิกมาแล้วไม่มีปัญหา
พอใกล้ครบรอบเดือนของเดือนที่จ่ายไว้ ก็เข้าไปทำรายการซื้อรายการใหม่
จะเริ่มรายการใหม่ต่อจากวันสุดท้ายที่รายการเดิมสิ้นสุด 
หรือถ้าจะใช้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องทำอะไร ถึงรอบตัดเงิน
เงินก็จะถูกตัดไปตามที่เราลงทะเบียนไว้ เราก็ใช้ต่อไปได้เรื่อยๆ


อยากหยุดเมื่อไหร่ก็เข้าไป Cancel subscription ก่อน ที่จะถึงรอบตัดเงินของรอบใหม่
เอามาฝากสำหรับเพื่อนๆที่อาจสนใจ
แต่ถ้าไม่อยาก หักเงินผ่านบัครเครดิต วิธีอื่นๆ ถูกและดีกว่านี้ก็มี
ลองดูไปเรื่อยๆ ดูว่าสะดวกและชอบวิธีไหนนะจ้ะ


อันนี้จากที่มีเพื่อนๆแนะนกันไว้นะจ้ะ

ซื้อบัตรโทรศัพท์จากเวป

www.good2call.com
ราคา $8.99 โทรได้ 966 นาที แต่ควรโทรช่วงที่มีคนโทรไม่มาก


call2rich  http://www.call2rich.com/
unlimited $11.99

tolld.com บัตรโทรกลับไทย 
ตอนนี้เห็นโปร talk of the town นาทีละ 29 สต. แล้วโปร sea and th city นาทีละ 49 สต.
คลิ๊กลิงค์ http://tolld.com/


Straight Talk Mobile Home  หลายๆคนบอกว่าดี ถูก ไม่มีสัญญา 45$ ต่อเดือนเอง คลิ๊กไปลิงค์ www.straighttalk.com


Vonageเป็น โปรแกรมคล้ายๆ Skype $35ต่อเดือน http://www.vonage.com/


แต่ถ้าญาติทางไทยใช้โทรศัพท์ฉลาด ก็โทรผ่านโปรแกรมฟรีต่างๆโลดจ๊า

เช่น Facetime , Facebook, Line , Tango

โปรแกรม messenger ต่างๆ เดี๋ยวนี้โทรคุยกันได้แทบทั้งนั้น

เยอะแยะมากมาย จนไม่รู้จะโทรไปหาใคร 

คุยจนเค้าหลับกันหมด โปรแกรมก็ยังฟรีตลอด ^_^

Friday, June 28, 2013

สู้ๆนะ stay strong and keep smiling

ให้กำลังตัวเองและเพื่อนๆของเรา
ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ใดๆ ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะจ้ะ 

"คิดบวกไม่ได้เป็นการหลอกตัวเองว่าไม่ได้มีปัญหา แต่การคิดบวกเป็นการทำให้เรามีความสุขได้ภายใต้ปัญหาที่ยังคงมีอยู่"
จาก IG dhammatan

อย่าลืมนะจ้ะ Happiness depends on what you think, joob joob.


Wednesday, June 26, 2013

ส่งเงินกลับไทยทางมันนี่แกรม

มีคนถามมาเลยเอามาลงไว้ที่นี่ด้วย
วิธีอาจไม่ถูกสุด
แต่สะดวก สำหรับเรา
เหตุผลคือ ปกติเราส่งไม่เกิน 500$  ค่าธรรมเนียม 9.9$
และสิ่งสำคัญคือ ต้องการเอาเงินสดไปยื่นส่งเลยได้เลือกใช้วิธีนี้

วิธีอื่นอาจถูกกว่านะจ้ะ เล่าวิธีนี้ในฐานะที่ใช้บริการประจำจ้ะ


มันนี่แกรม แบบโอนเข้าบัญชีธนาคารทำได้บางประเทศ
ตอนนี้ยังไม่มีโอนเข้าบัญชีที่ไทย
ถ้าจะส่งผ่านมันนี่แกรมไปไทยตอนนี้ ต้องให้ผู้รับทางไทยใช้รหัสกับบัตรประชาชนไปรับเป็นเงินสดที่ธนาคาร
ถ้ามีเงินสด ต้องการโอนทันทีตอนนี้ไปใช้บริการได้ที่เคาเตอร์มันนี่แกรมที่ Walmart
ไม่เกิน 500 $ ค่าธรรมเนียม 9.9$ มากกว่านี้ค่าธรรมเนียมก็เพิ่มขึ้น 
ถ้าไปที่เค้าเตอร์มันนี่แกรม ตามห้างหรือร้านอื่นๆ ต้องเสียค่าธรรเนียมให้ทางห้างร้านด้วย
ค่าธรรมเนียมก็จะแพงกว่าไปส่งWalmart


ถ้าเป็น เคาเตอร์มันนี่แกรม จะเสียค่าธรรเนียมให้เฉพาะ ค่าส่งของมันนี่แกรมคือ 9.9$ (ถ้าไม่เกิน $500) ไม่มีค่าธรรมเนียมให้ห้าง (ที่อื่นต้องจ่ายเพิ่ม ) 
แต่วิธีนี้อาจไม่ถูกกว่าส่งวิธีอื่น (มีวิธีอื่นถูกกว่าเช่น PayPal
แต่เราเองส่งที่ Walmart ประจำเพราะส่งไม่เยแพและต้องการยื่นเงินสดส่ง
เลย สะดวกที่ไปที่นี่   

ตอนส่งต้องระบุชื่อผุ้รับ เบอร์โทรศัพท์
หลังจากส่งเสร็จ เราจะได้ รหัสมา โทรไปบอกผู้รับทางไทย 
ให้เค้าเตรียมบัตรปชช. บอกรหัส และ จำนวนเงินที่จะได้รับ ชื่อผู้ส่ง 
รับได้ที่ธ.ไทยพานิยช  หลังส่งประมาณ 5 นาที
พอธนาคารทางไทยได้รับข้อมูลออนไลน์ ก็จะรับเงินได้

ลองเข้าไปคำนวณในลิงค์นี้ว่า ส่งเท่าไหร่ได้เงินเท่าไหร่
มี rate บอกเผื่อเอาไปเทียบกับวิธีอื่น
https://www.moneygram.com/wps/portal/moneygramonline/home/estimator?LC=en-US

วิธีการรับเงิน  https://www.moneygram.com/MGI/TH/TH/Receive/Receive.htm?CC=TH&LC=TH


ส่งได้ทุกที่ที่มีเคาเตอร์ มันนี่แกรม 
แต่ถ้าไม่ใช่เคาเตอร์มันนี่แกรมในห้าง Walmart อาจเสียค่าธรรเนียมให้ห้างนั้นด้วย
คือค่าธรรมเนียมอาจจะเพิ่มขึ้น
เคยเห็นที่ SafeWay ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มให้ห้างนิดหน่อย
ถ้าจะให้แน่ใจว่าไม่ต้องจ่ายเพิ่มให้กับสถานที่ส่ง ต้องเป็นเคาเตอร์มันนี่แกรมใน Walmart


แบบ on line จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือหักผ่านบัญชีธนาคาร https://www.moneygram.com/wps/portal/moneygramonline/home/sendmoney?CC=US&LC=en-US

Sunday, June 23, 2013

ข้อมูลเรื่องการรับรอง US Citizen ให้ลูกหลังจาก พ่อหรือแม่ได้ US Citizen : US Passport (อีกรอบ )

ข้อมูลเรื่องการรับรอง US Citizen ให้ลูกหลังจาก พ่อหรือแม่ได้ US Citizen  : US Passport (อีกรอบ )

ถ้าเรา เป็น US Citizen ลูกจะได้ US Citizenตาม อัตโนมัติ โดยมีข้อแม้ว่า
(เราในที่นี้หมายถึง คนที่เป็นแม่หรือพ่อก็ได้ )

1.ณ วันที่เราได้ US Citizen ลูกต้องอายุุไม่เกิน 18 ปี
2.วันที่เราจะทำเรื่องรับรอง US Citizen ให้ลูก ลูกต้องมาอยูู่อเมริกามีกรีนการ์ดแล้ว
(ข้อ 1และ 2 ไม่จำเป็นต้อง เกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น ลูกตามทีหลัง หลังจากเราได้ US Citizen มาก่อนนี้แล้ว พอลูกตามมามีกรีนการ์ดก็ขอรับรอง US Citizenให้ลูกได้  )

• อันดับแรก เราจัดการเรื่อง US Citizen ของเราให้เรียบร้อยก่อน   โดยไม่เกี่ยวข้องกับลูก

• เมื่อได้เราได้ US Citizen มา ลูกจะได้ตามด้วย ถ้าคุณสมบัติครบ ก็มาดูว่า เราจะรับรอง US Citizen ให้ลูกวิธีใด

การขอเอกสารรับรอง US Citizen ในกรณีนี้ ทำได้ 2 วิธี คือ
1. ขอรับรองโดยกรอกแบบฟอร์ม N-600และ ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง
จะได้รับใบรับรองการมีสัญชาติอเมริกันของลูกมา

2. ขอทำ US Passport ให้ลููก โดยกรอกแบบฟอร์มการขอมี US Passport และ ยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้อง ณ สถานที่รับทำพาสปอร์ต
หลังจากนั้นลูกจะได้รับ US Passport มาเป็นเอกสารที่สามารถแสดงความเป็น US Citizen ได้



บางคนอาจเลือกแบบทำ US Passport ให้ลูก หลังจาก เราได้ US Citizen  โดยเอาเรื่อง N-600 ไว้ก่อน เพราะค่าธรรมเนียมแตกต่างกันมาก



กรณีทำ US Passport


• เตรียมเอกสารไปให้พร้อมที่จะทำUS Passport

เอกสารที่สำคัญทางฝั่งแม่คือ ใบรับรองความเป็น US Citizen ของแม่

เอกสารสำคัญทางฝั่งลูกคือ โดยทั่วไปแล้วตัวพ่อแม่ต้องเด็กพาไปทำและเซ็นชื่อในวันนั้น 
กรณีพาลูกไปทำคนเดียว  ใช้เอกสารไปแสดงว่าเรามีอำนาจปกครองบุตรโดยผู้เดียว
หรือใบ custody จะได้ไม่ต้องไปตามหาพ่อเด็กพามาทำด้วยกัน  (ซึ่งถ้าต้องให้มาคงเป็นไปไม่ได้)

ในบางที่ ที่ทำพิธี สาบานตน จะมี จนท. ที่ทำ พาสปอร์ตมาให้บริการด้วย
หลังจากเราผ่านการทำพิธีรับรอง และได้เอกสารรับรอง US Citizenแล้ว ก็จัดการทำพาสปอร์ตต่อเลย 
เราอาจทำ US Passport ให้ทั้งตัวเองและลูกวันเดียวกันเลย หลังจากได้รับใบรับรอง US Citizen

**แต่ไม่จำเป็นต้องทำ US Passport ในวันทำพิธีสาบานตน บางคนยังไม่พร้อมก็เอาไว้ทำเมื่อพร้อม หลังจากนั้น เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วแต่สะดวก
บางที่ที่ทำพิธีสาบานตน ก็ไม่มี บริการทำ US Passport ในวันสาบานตน  อาจต้องไปทำอีกที่ไกลจากที่ไปสาบานตน

**และไม่จำเป็นต้องไปทำพร้อมกันแม่ลูก แม่ไปทำของแม่ก่อนก็ได้ สะดวกหรือพร้อมไปทำให้ลูกตอนไหนก็พาไปทำตอนนั้น   
สิทธ์นี้จะติดต่อลูกไปตลอด  ตราบใดที่คุณสมบัติครบ ตามข้อแม้ที่บอกไปข้างบน

แต่ถ้าไปทำพร้อมกัน ก็จะง่าย ตรงที่ ไป ทำพร้อมกัน วันเดียวกันได้พาสปอร์ตของทั้งสองคน ไม่ต้องเสียเวลาทำแยกกันสองวัน
และถ้าไปทำวันสาบานตนเลย ก็จะไม่ต้องเสียเวลาไปทำ พาสปอร์ตวันอื่นอีก (แต่ไม่จำเป็นต้องทำวันนั้น)


Saturday, June 15, 2013

GED Transcript , yhey!! I made it.


หลายๆคน สงสัย GED คืออะไร
 
GED มาจากคำเต็มว่า General Educational Development
 
GED คือใบรับรองเทียบเท่าการจบ High school สำหรับคนที่ไม่ได้เข้าไปนั่งเรียน High school
คล้ายๆ กับสอบ กศน.เอาวุฒิ ม.6 ที่ไทย
สามารถเอาไปใช้ประกอบการสมัครงาน หรือ ศึกษาต่อระดับวิทยาลัย
โดยที่ไม่ได้ผ่านการนั่งเรียนในระดับ High school แต่ไปขอสอบเอาวุฒิเทียบเท่าแทน
 
 
จะได้มาอย่างไร
GED ได้มาจากการสอบทำคะแนนให้ผ่านเกณฑ์
บางที่ที่รับสอบ GED อาจมีข้อกำหนดว่า ต้องเข้าไปนั่งเรียนด้วย
บางที่อาจไม่ต้อง
ที่ที่เราไปสอบนี่เป็น Community College
ไม่จำเป็นต้องผ่านการเข้าไปนั่งเรียน
ถ้าคิดว่าตัวเองพร้อมสอบ ไปขอลงทะเบียน เพื่อสอบได้เลย
แต่ถ้าคิดว่ายังไม่พร้อม อยากทบทวน ก็ลงทะเบียนเรียนก่อน
 
เราลงเรียน 1 คอร์ส  การเรียน GED ที่นี่คือ
การเข้าไปนั่งเรียนในลักษณะการติว แต่ละหัวข้อที่จะสอบ
ในเวลา 1 คอร์ส คือ ประมาณ สองเดือนกว่า หรือ สามเดือน ตามคอร์สการเรียนปกติ
เราไปเรียนประมาณ เดือนเดียวเพราะต้องกลับไทยกระทันหัน
 
ถ้าเรียนครบคอร์ส มีความรู้สึกว่ายังไม่มั่นใจที่จะสอบก็ลงเรียนคอร์สของเทอมใหม่
แต่เนื้อหาการติวจะเหมือนเดิม เพียงแต่เราไปนั่งติวซ้ำในเรื่องเดิมๆ ที่เราคิดว่ายังไม่พร้อมที่จะสอบ
 
ในเรื่องสอบ Writing ถ้าใครมีพื้นฐาน ภาษาอังกฤษและ แกรมม่าค่อนข้างน้อย
การติวสองเดือนอาจยังไม่สามารถช่วยให้สามารถเขียนเรียงความผ่านได้
ก็ลงติวใหม่  ที่เราติว คอร์สละ 25$ เป็นค่า tutor  
บางที่อาจติวฟรี   คล้ายๆ ESL ที่บางที่ก็ต้องจ่ายค่าเรียน บางที่ก็เรียนฟรี
หรือเรียน on line
 
 ระยะเวลา2 เดือน ต่อคอร์ส บางคนอาจคิดว่าดูเหมือนเยอะ จะไปเรียนไหวหรือเปล่า
แต่จริงๆ แล้วเรียน แค่วันละนิดเดียว
ตารางการเรียนคงแล้วแต่สถานที่
สำหรับที่ที่เราไปเรียนนี่ เรียน วันละประมาณ 2 ชม.
จันทร์ - พฤหัส  เรียนสลับกัน  วิชา  คือ Mathematics  จันทร์ พุธ  วันละ 1 ชม.ครึ่ง และ Writing อังคาร พฤหัส วันละ 2 ชม.
มีเรียนภาคเช้า และ เย็น แล้วแต่เราสะดวกเลือกเรียนตอนไหน
 
ที่เราเรียน จะติวแค่ 2วิชา  คือ Mathematics และ Writing
วิชาอื่นๆ ใช้การอ่านแล้วตอบตามความเข้าใจจากข้อมูลในคำถาม
คนอเมริกันไม่ค่อยมีปัญหาเพราะถ้าอ่านแล้วเข้าใจความหมายก็ตอบได้
คำตอบจะอยู่ในเนื้อเรื่องที่อ่าน
ไม่ใช่การสอบแบบท่องจำเนื้อหาในหนังสือทั้งเล่มแบบเด็กไทย
ก็เลยไม่มีติวใน อีก3  วิชาที่เหลือ (ซึ่งเป็นวิชาที่ง่านมากสำหรับคนอเมริกัน แต่สำหรับเรามันยาก ระดับหินเลย  เพราะเราไม่เข้าใจศัพท์ จะเดาคำตอบก็ไม่มีแนวทางอะไรมาให้เดาเลย เพราะศัพท์ไม่ได้ ทั้งในคำถามและคำตอบ)
 
ใครจะไปแล้วหายบ้างมาบ้าง ก็แล้วแต่ความสะดวก ความตั้งใจ ความชอบ หรือาถานการณ์ของแต่ละคน
บางคนอาจไปเรียนแล้วรู้สึกว่า อ่านหนังสือเองดีกว่าก็มาอ่านหนังสือเอง
เพราะไม่ใช่การเรียนจริง ไม่มีการเก็บหน่วยกิต
เรียนไปสองอาทิตย์ คิดว่าพร้อมแล้วที่จะไปสอบก็ไปลงทะเบียนสอบเลยก็ได้
ถ้าสอบผ่านก็หยุดเรียนได้เลย ไม่ต้องไปเรียนต่อให้ครบคอร์ส
เราเองก็เรียนแค่ประมาณเดือนเดียวต้องหยุดเพราะกลับไทย
กลับมาก็อ่านหนังสือเอง เพราะสอบวิชาที่เปิดติวผ่านไปละ
ไม่ต้องไปนั่งติวอีก  เหลือ 3 วิชาที่ไม่มีติวยังไงก็ต้องอ่านเอง
 
 GED ต้องสอบอะไรบ้าง
ขอคัดลอกข้อความมาเลยนะ จะเขียนอีกเยอะชักเริ่มขี้เกียจละ
 
 The GED Test has five parts:
  1. Language Arts: Writing
  2. Language Arts: Reading
  3. Social Studies
  4. Science
    • Physical Science
    • Life Science
    • Earth and Space Science
  5. Mathematics
    • Number operations and number sense
    • Measurement and geometry
    • Data analysis, statistics, and probability
    • Algebra, functions, and patterns
 
 ที่มาของข้อมูล   http://adulted.about.com/od/gettingyourged/p/Definition.htm
 
แต่ละ วิชามีคะแนนเต็ม 800 คะแนน
ต้องสอบผ่านเกินครึ่งมาหน่อย ถึงจะผ่านเกณฑ์
วิทยาลัยที่เราไปสอบนี่ คะแนนรวม 5 วิชา หารกัน ต้องเฉลี่ยได้ 450  (ส่วนใหญ่น่าจะเป็นแบบนี้แหละ)
แต่สามารถสอบได้ ต่ำสุด 410 ก็ผ่านได้
ถ้าวิชาอื่นๆ คะแนนดี ช่วยให้ เกณฑ์ ค่าฉเลี่ย 5 วิชา ได้ถึง 450
 
 
ถ้าพร้อมก็ไปขอลงทะเบียนสอบ GED ตามสถานที่ที่เปิดเป็นสถานที่สอบ GED
แต่ก่อนลงทะเบียนวิชาละ 15$
มาเปลี่ยนเป็นวิชาละ 30$ ตอนเราจะไปจ่ายเงินพอดี
เสียดายมาก
ถ้าจ่ายไว้ก่อนนั้นแค่อาทิตย์เดียวจะได้จ่ายในราคาเดิม
แล้วไปสอบตอนไหนก็ได้
จ่ายรวมหมด วิชาก็ได้ หรือ ทยอย จ่ายทีละวิชาที่จะสอบก็ได้
 
ของเราต้องไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ก่อน
แล้วก็เอาใบเสร็จไปลงทะเบียนสอบ
จะไปลงทะเบีบนไว้เฉยๆ หรือขอนัดสอบเลยก็ได้
จนท.จะจัดรายชื่อเราลงตารางสอบให้
ถึงวันสอบก็ไปสอบตามนัด
 
ถ้าสอบไม่ผ่าน บางที่อาจมีว่า สอบใหม่ได้อีก1 ครั้ง โดยไม่ต้องจ่ายเงินใหม่
แต่ที่เราไปสอบนี่ ถ้าสอบไม่ผ่าน จะขอสอบใหม่ ต้องจ่ายเงินใหม่ ทุกครั้ง
จ่ายเฉพาะวิชาที่จะสอบใหม่
 
ไม่มีสอบฟรีอีกรอบ
หลังจากลงทะเบียนไว้แล้ว สามารถไปสอบตอนไหนก็ได้  หรือสอบซ้ำกี่ทีก็ได้
แต่ต้องจ่ายเงินทุกครั้ง
ภายใน รอบ 1 ปีการศีกษา
เราใช้เวลา สอบ จากวิชา แรกมาจนถึงวิชา ที่ 5 ผ่านหมด  นี่คือ ใช้เวลา 6เดือน
 
จริงๆ ถ้าลง สอบ วันละ 2วิชา   3วันก็สอบครบ 5 วิชาละ
แต่เรากลับไทย  ระหว่างสอบได้ 2วิชา และไม่พร้อมที่จะสอบต่ออีก 3วิชาทันที่ที่กลับมาด้วย
ขอทยอยอ่านหนังสือทีละวิชาน่ะ
(จะลงสอบวันละวิชาก็ได้ เพื่อไม่ให้หนักสมองมาก)
 
หลายๆคนจะเลือกสอบวิชาเบาๆ ก่อน
วิชาเบาๆ ชองที่นี่คือ Reading  , Social และ Science
แต่สำหรับเรา 3 อันนี้ไม่ง่ายนะ เพราะเราไม่ได้เรื่องศัพท์
ถ้าศัพท์ไม่ได้ จะเดาคำตอบได้ไง
 
โดยเฉพาะ Reading จะเป็นศัพท์ที่เราไม่ค่อยได้ใช้
นอกจากรู้ความหมายตรงตัวแล้ว ยังต้องจินตนาการไปตามคนเขียนอีก
ว่าบรรยายเปรียบเทียบ  ต้นไม้  ใบหญ้า  พระจันทร์ กับอะไร
เราเลยสอบวิชานี้วิชาสุดท้าย (ถ้าเป็นคนอเมริกันจะคิดว่าวิชานี้จิ๊บๆมาก)
ได้คะแนนเกินผ่านมาหน่อยหนึ่ง
แต่ก็ทำให้ผ่านได้ใบประกาศ GED ได้ ดีใจสุดๆ
 
 
 
ถ้าสนใจจะไปขอสอบที่ไหนดี
ส่วนใหญ่จะมีตาม College ต่างๆ
หาข้อมูลได้ตาม  web college ใกล้บ้าน
หลายๆ College น่าจะเป็นสถานที่สอบ GED
คงเพราะเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนที่อยากศึกษาต่อในระดับวิทยาลัย
แต่ไม่ได้เรียน High school มา ไม่มีวุฒิที่จะมาเรียนต่อน่ะ
ที่วิทยาลัยที่เราสอบนี่ มีทั้ง ESL , GED
หลังจากสอบผ่านหมดจากที่นี่และต้องการเรียนต่อระดับวิทยาลัยที่นี่จะสามารถสอบวัดระดับได้ฟรี
ถ้าเป็นคนทั่วไปอยากเรียนต่อระดับวิทยาลัย ต้องจ่ายค่าสอบวัดระดับ $25
ข้อสอบ คล้ายๆ GED แต่น้อยข้อกว่า
 
ถ้าสอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่จะเรียนระดับวิทยาลัยก็ลงเรียนระดับพื้นฐานไปเรื่อยๆก่อนจนกว่าจะผ่านเกณฑ์
(สำหรับคนที่สนใจเรียนระดับวิทยาลัยนะ)
 
ในความเห็นเราไปสอบ หรือเรียน GED ที่ College ดีนะ
เพราะจะได้รับข่าวสารเรื่องการเรียนต่อ
ได้เห็นช่องทางไปต่อ ทำให้เรามีความอยากที่จะไปต่อมากขึ้น
และสอนค่อนข้างจริงจัง  เพื่อเน้นให้คนมาเรียนสอบผ่านและเข้าไปเรียนต่อในวิทยาลัยต่อได้
 
ลองหาข้อมูล GED Testing Center  ใกล้บ้านได้จากที่นี่
 
ลิงค์ วิทยาลัยที่เราไปเรียน
มีตัวอย่างแนวทางข้อสอบ
 
 
หาอ่านแนวทางตัวอย่างข้อสอบ GED ได้จาก google -->  sample, ged test ,free
 
 
ตัวอย่างบทความ  Reading ที่อาจเจอ 
อ่านแล้วตอบคำถามเกี่ยวกับบทความ
ยากสุดๆ สำหรับเรา
แต่คนอเมริกันอาจคิดว่าง่าย
 
 
 
 เอามาจากที่นี่  http://www.test-guide.com/free-ged-practice-tests.html
 
เคล็ดลับ การสอบ  Reading ให้ผ่าน คือ ท่องศัพท์ ท่องศัพท์ ท่องศัพท์
 
ถ้าใครสนใจอยากศึกษาจริงจัง แนะนำว่าลองซื้อหนังสือ GED มาอ่านซักเล่ม
เล่มใหม่ๆ ตาม ร้านหนังสือ เล่มละ ประมาณ 16$
ถ้าเป็นมือสองตาม  ที่ซื้อตาม  ต่างๆก็คงถูกกว่านี้
ในหนังสือ จะมีอธิบาย หัวข้อแต่ละวิชา
ไปสอบที่ไหน เตรียมตัวอย่างไร
คิดคะแนนยังไงถึงจะผ่าน
 
อ่านให้หมด ทำแบบฝึกหัดให้ครบทุกหน้า
และหาแบบฝึกหัดออนไลน์ทำพร้อม
ท่องศัพท์เยอะ ๆก็จะผ่านได้จ้ะ
 
ยังเล่าไม่หมดนะ
 
เอาไว้ขยันๆ จะมาเล่าแนวทางข้อสอบว่าสอบอะไรบ้างในแต่ละวิชานะ
 
 
การคิดคะแนน GED  เคยเขียนไว้ คลิ๊กไปอ่านได้นะจ้ะ  http://iiwswa.blogspot.com/2013/02/ged-2.html

Congratulations!!!

สามปีที่มาอยู่นี่
วันนี้ดีใจ ปลื้มใจ
ตื้นตันใจ ภูมิใจ ในตัวเองสุดๆ

ได้รับใบประกาศ GED
รู้สึกว่าตัวเองทำในสิ่งที่มีค่ามากตั้งแต่มาอยู่นี้พร้อมกับคำว่าไม่ได้ทำงาน
คำว่าไม่ได้ทำงานนี่ดูเหมือนเป็นคนไม่มีความพยายาม และขี้เกียจเนอะ
วันนี้เราภูมิใจกับความพยายามของเรามาก
 ถึงแม้จะแค่ใบประกาศเล็กๆ
แต่สำหรับเราต้องใช้ความพยายามมากพอสมควรกว่าจะได้มันมา
ขอภูมิใจหน่อยนะตะเอง 


ตอนมาอยู่นี่ปีแรกยังไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีรถไม่สะดวกไปไหนมาไหน
คิดอะไรยังไม่ออก
ปีที่สองตั้งใจว่า จะสอบเอาวุฒิ GED ให้ได้ภายในสองปีที่มาอยู่
เราถือว่าเป็นการทบทวนภาษาอังกฤษ
แต่มีปัญหาครอบครังทางไทย ต้องกลับไทย ติดๆ กัน สามครั้ง
ทำให้เราต้องเลื่อนไปเรื่อยๆ
แต่เราก็ไม่ละความพยายามนะ

กลับมาสานต่อเมื่อพร้อม

และวันนี้เราทำสำเร็จแล้ว

ถึงแม้จะวุฒิเล็กๆ แต่ก็สร้างความภูมิใจให้กับตัวเองและตระกูลอย่างมาก

ขอบคุณชีวิตเราที่มีวันนี้

หน้าบานจริงๆ เนื่องจากน้ำหนักขึ้นปีแรก 7กก.

หมายเหตุที่ได้รับประกาษแบบนี้ เพราะเราสอบจากCollege
ทางวิทยาลัยให้ไปรับใบประกาศพร้อมกับคนที่จบระดับปริญญาของ College

หมดเขตลงทะเบียน รับประกาศ 31 May
แต่เรา สอบผ่านวิชาสุดท้าย 5 June
โดยไม่รู้เลยว่า เค้าจะรับประกาศกันวันไหน
เราไปสอบตามความพร้อมของเรา
พอสอบผ่านก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้แต่ว่า ใบรับรองจะส่งมาให้ที่บ้าน
แต่จนท.โทรมา ขอแสดงความยินดีด้วย เรามีสิทธิ์ไปรับใบประกาศด้วย
จนท.ใส่ชื่อเพิ่มให้
จะไม่ให้ดีใจได้ไงเนาะ
อยู่ดีๆ ได้ไปร้วมพิธีกับเค้า ทั้งๆที่ผ่านวันสุดท้าย ของการรายงานตัวแล้วอ่ะ























See More



บันทึกวันเก่าๆ ไม่คิดว่าจะทำสำเร็จได้   http://iiwswa.blogspot.com/2012/03/blog-post_17.html




 

โอนเงินจากอเมริกาไปไทย โดยใช้บริการ MoneyGram หรือทางไหนดี

ส่งเงินจากอเมริกา ไปไทย ที่ไหน ทางไหนเรทดี ? คนมาอยู่อเมริกาคงมีคำถามนี้กันเนาะ วันนี้ยกตัวอย่างบางช่องทางนะคะ เราถนัด MoneyGram เพราะสะ...